เดี๋ยวนี้อะไรก็อยู่ในมือถือ หรือสมาร์ถโฟนไปเกือบทั้งหมดแล้ว คงอีกไม่นาน มือถือของเราก็คงจะแปลงกาย เป็นรถได้ หรือเป็นยานอวกาศได้อย่างแน่นอน และสิ่งที่มาพร้อมกันกับมือถือ ก็คือการล่มสลายของบางสิ่งที่เคยเป็นที่นิยมได้จางหายไป ทำให้คนรุ่นก่อน คนรุ่นเก่า รู้สึกว่าเรากำลังจะหมดประโยชน์จากโลกนี้ไปแล้ว ยิ่งถ้าปรับตัวไม่ทันก็ยิ่งจะอยู่ยากขึ้นไปทุกวัน ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ว่าคนอายุ 70++ ยังต้องรีบมาเรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีกันอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นก็คงจะคุยกับลูกหลายไม่เข้าใจกันแน่ๆ ขนาดว่าหนังสือที่เคยได้อ่านก็ไม่หยิบอีกต่อไปแล้ว เพราะมีมือถือมาให้ดูแทนการอ่าน
สัญญาณอันตรายของหลายๆ สิ่งกำลังก่อตัวแบบที่เราไม่รู้ตัว อย่างร้านหนังสือก็กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งอย่างที่กำลังจะเหลือเพียงแค่เรื่องเล่า จากที่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ในยุคที่หลายคนยังเป็นเด็กเล็กยังคงต้องวิ่งไปร้านเช่าวีดีโอแล้วก็เช่าหนังเรื่องโปรดมาดู ต่อมาก็เริ่มจางหายไป กลายเป็นการไปเช่าแผนซีดีหนังมาดู และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็ถึงการ อวสานทุกอย่างทั้งหมด เพราะทุกอย่างได้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายไม่ต้องเสียเงินกันอีกต่อไป เพราะโลกอินเตอร์เน็ตได้มีบทบาททุกอย่างทำให้ร้านเหล่านี้ต้องปิดกิจการกันไปทั้งหมด
อีกไม่นานร้านหนังสือก็คงจะต้องปิดตัวตามกันไปด้วย สำนักพิมพ์ทั้งหลายก็เริ่มที่จะปิดตัวกันไปบ้างแล้ว เพราะด้วยการตลาดที่ไม่มีคนเข้ามาอ่านแล้ว หลายคนพูดว่าเสียดายเงินรอไปอ่านจากอินเตอร์เน็ตดีกว่า หรือไม่ก็รอคนนำมาแชร์ในโลกโซเชียล รอฟังจากในเฟสบุ๊คก็ได้ ทำให้หนังสือไม่มีบทบาทอีกต่อไป แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่พยายามที่จะทำตามสมัยด้วยการใช้สื่อออนไลน์เพื่อการอ่าน แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ความรู้สึกเหมือนการอ่านหนังสือของจริงสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็จำเป็นต้องกลับมาหาอ่านหนังสือกันอยู่ดี อะไรที่มีเสน่ห์ก็ยังมีเสน่ห์อยู่วันยังค่ำ
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ควรที่จะกลับมาอ่านหนังสือกันบ้างดีกว่า เพราะหนังสือให้อะไรหลายๆอย่างที่หลายคนยังไม่รู้ แล้วสิ่งเหล่านั้นคืออะไรกันบ้าง เริ่มต้นด้วย
1.ให้ความสุขแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
สำหรับคนที่อ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วไม่ยากเลยที่จะเข้าใจเรื่องความสุขแต่อย่างใดแต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไหร่ แล้วก็ยิ่งบ่นว่าหาความสุขไม่เจอ ลองค้นหาจากหนังสือสักเล่มดูไหม ไม่แน่หนังสือเล่มนั้นอาจจะมีคำตอบเรื่องความสุขที่เราได้ตามหากันอยู่ คำตอบนี้คงจะตอบด้วยการอธิบายไม่ได้ทั้งหมด จำเป็นที่สุดที่ต้องลงมืออ่านเอง
2.ความสงบ
ความสงบในเวลาที่เราได้อ่านหนังสือ ไม่ว่าสิ่งรอบตัวจะวุ่นวายขนาดไหนเมื่อเราได้หลงเข้าไปในดินแดนแห่งตัวหนังสือเราจะค้นพบความสงบโดยบังเอิญ สมองของเราจะเกิดความว่างเปล่าจะมีแค่ตัวหนังสือที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบ เป็นการจินตนาการภาพตามสิ่งที่ได้อ่าน แล้วจะมีการประมวลผลส่งไปในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้เราเกิดความสงบเหมือนกับการนั่งสมาธิ
3.มีสติ
คำว่าสติ ใช้ประโยชน์ได้กับทุกที่ เมื่อเราอ่านเยอะ ก็จะมีความคิดเยอะเมื่อความคิดเยอะการตัดสินใจทำอะไรก็แล้วแต่ก็จะเหมือนกับว่าเราได้ มีความคิดก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ยากเลยถ้าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา การกระทำหรือการตัดสินใจทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นมั่นใจขึ้นและแม่นยำขึ้น หนังสือจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างง่ายขึ้นอีกด้วย
4.มีรอยยักในสมองเพิ่มขึ้น
เมื่อเราอ่านมากก็จะรู้มากและเริ่มที่จะเข้าใจว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมอย่างกับข้อความหรือสิ่งต่างๆที่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ก็จะมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงผสมกันไป เราอาจจะแยกไม่ออกด้วยการใช้คำพูดที่น่าเชื่อถือ จนเราอาจจะจำเรื่องราวที่ผิดก็ได้
5.มีสตางค์เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อความรู้มากการศึกษาเยอะ การลงทุนหรือการทำการสิ่งใดก็เริ่มจะมองเห็นทางสว่างกันมากขึ้น เราก็จะรู้วิธีการสร้างเงินสร้างรายได้มากขึ้น แล้วเมื่อลงมือทำก็จะรู้ช่องทางการแก้ปัญหาได้อย่างมีสติ หนังสือจึงเป็นอีกช่องทางที่สามารถทำเงินให้กับเราได้แบบไม่มีขีดจำกัด มหาเศรษฐีทุกคนชอบในการอ่านหนังสือกันเป็นส่วนใหญ่ และชอบที่จะแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา หนังสือให้แต่คุณประโยชน์ทุกทิศทางจริงๆ
กลับมาหลงรักสิ่งที่เราเคยยกให้เป็นสุดยอดแห่งความรู้ความสุขกันดีกว่า หนังสือคือคำตอบสำหรับทุกช่องทางและสำหรับทุกคนตลอดกาล อย่าให้หนังสือเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นเพียงกระดาษที่ไว้สำหรับห่อของอีกต่อไป ข้อความบางคำที่ในหนังสือเล่มหนา ก็เคยทำให้คนที่ใกล้จะฆ่าตัวตายกลับกลายมาเป็นคนใหม่แถมยังมีชีวิตชีวากว่าเดิมหลายเท่าตัวมาแล้ว อย่าปล่อยให้หนังสือต้องร้องไห้ตามหาคนอ่านอีกเลย กลับมาทำให้ตัวหนังสือมีค่าเหมือนดังเดิมอีกครั้ง ถ้าเราทุกคนมีหนังสือติดตัวไว้อ่านแทนการเล่นโทรศัพท์แค่วันละ 1 ชั่วโมง เราก็สามารถที่จะแยกความจริงกับเรื่องโกหกได้ง่ายขึ้นเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เราได้มี สติ สตางค์กันเลยดีกว่า